นิราศเมืองคอน ตอน “นิราศกะโรม”

ก.พ. 28

นิราศเมืองคอน ตอน “นิราศกะโรม”

01-500x321 copy

031-500x324 copy

                  “นิราศกะโรม” เป็นบทประพันธ์ของ “คุณครูตรึก พฤกษะศรี” ซึ่งได้รับอนุญาตจากคุณสถาพร พฤกษะศรี นำลงในเวป “เมืองคอน.com” เพื่อให้ชาวเมืองคอนและบุึึคคลผู้สนใจในกาพย์ กลอน ได้อ่านเล่น อีกยังได้นึกถึงบ้านเมืองของเราในอดีตที่ผ่านมา ในปี พ.ศ.2505 และคุณสถาพร พฤกษะศรี ได้เกริ่นนำถึงการเขียนนิราศตอน “นิีราศกะโรม”ไว้ว่า

                   ครั้งหนึ่งที่คุณครูตรึก พฤกษะศรี ซึ่งเป็นผู้กำกับลูกเสือของโรงเรียนปากพนัง ได้นำคณะลูกเสือนักเรียนของโรงเรียนปากพนังสามร้อยกว่าคน เดินทางไกลไปเข้าค่ายพักแรมที่บริเวณน้ำตกกะโรม อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช และได้ลำดับเหตุการณ์ต่างๆมาเป็นนิราศในชื่อว่า “นิราศกะโรม”

                   คุณครูฯได้บรรยายถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มเดินทางจากอำเภอปากพนัง เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2505 เส้นทางที่เดินทางไปได้เหมารถยนต์พานักเรียนเดินทางผ่านสถานที่จุดต่างๆตามสภาพที่มองเห็น มีความประทับใจและอุปสรรคต่างๆที่ได้พบพร้อมทั้งความสามัคคีของหมู่คณะที่เดินทางร่วมกันแม้จะเป็นระยะทางที่ไม่ไกลนักราวสิบห้าไมล์กว่าๆ มีพระปรมาภิไธยของรัชกาลที่หก ว.ป.ร.เป็นขวัญของชาวประชาอยู่บริเวณน้ำตกกะโรมด้วย

                    ในการเดินทางครั้งนี้ คุณครูฯได้บรรยายสภาพของการเดินทางแล้วยังได้กล่าวถึงสภาพของธรรมชาติและน้ำตกที่ได้พบเห็น พร้อมทั้งความเป็นอยู่ของผู้คนในขณะนั้น อีกทั้งการให้การตอนรับของครูที่เป็นเพื่อนเก่าแก่ ที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่ ม.1 ผลสุดท้้ายได้มาเป็นครูเหมือนกัน แต่ต่างอำเภอกันด้วยอัธยาศัยของคนไทย ทำให้การเดินทางได้รับการอำนวยความสะดวกและบรรลุผลได้ด้วยดี

                     นิราศเรื่องนี้เป็นการเขียนไว้อ่านเล่น ผิดพลาดขาดตก คุณครูฯก็ได้ขออภัยต่อท้ายใว้ในนิราศด้วยแล้ว ใครหัวเราะเยาะบ้างนั้นก็ช่างปะไร

      อนึ่ง      ตามความเห็นของผู้เขียนเว็ป คงมีกวีน้อยท่านมากในยุคก่อนของเมืองไทยที่เขียนนิราศ กาพย์ กลอน แล้วมีภาพประกอบ ท่านผู้อ่านต้องคำนึ่งว่ายุคประมาณปีสองพันห้าร้อยอุปกรณ์ด้านการถ่ายภาพไม่พัฒนาสักเท่าไหร่ จึงต้องมีความชอบ เสียสละ และคุณครูฯยังมีจรรยาบรรณของความเป็น “ครู” เปี่ยมล้นและเสียสละส่วนนี้เพื่ออนุชนรุ่นหลังครับ

02-500x359 copy

041-700x452 copy

05-322x500 copy

  • นิราศกะโรม

“กาพย์ยานี ๑๑”

                          สิบเจ็ดกันยายน              จรดลเดินทางไกล

พักแรมรำพันไป                     เป็นประวัติทัศนา

        ออกจากปากพนัง            เวลาตั้งตีแปดกว่า

รถเหมาพาเราคลา                  ชมทุ่งนามาตามทาง

        บางสระสละน้อง             นั่งกรมกรองจิตหมองหมาง

สระเสน่ห์เล่ห์สระนาง              ปางภิรมย์สมสมร

        คลองน้อยคลองน้ำไหล     นั่งเศร้าใจอาลัยวรณ์

คิดคลองคลึงเคล้าอร               รอนแรมร้างมาห่างคลอง

        บางเปียะปิ่มปืนกาม         เชยโฉมงามเมื่อยามสอง

หยอกเย้าเคล้าคลอน้อง            ลองปืนเปียะเผียะๆชม

        บางจากพี่จากเจ้า            รอนแรมเร้าฤทัยชม

จากนุชสุดระทม                     อารมณ์ห่วงแม่ดวงมาน

        หนองนกอกกลัดหนอง      นกเอ๋ยล่องลาละหาน

บอกข่าวเล่านงคราญ               วานนกบินไปถิ่นนาง

        แรมทางบางพุดทรา         พี่จากมาอุราหมาง

พุธโธ่โอ้เอวบาง                     ต้องว่างชมภิรมย์แรม

        หัวตรุดพี่สุดเศร้า            หัวอกเร้าราวหนามแหลม

ทิ่มตำระกำแกม                     ไม่แจ่มจิตสักนิดเลย

        ศาลามีชัยจ้อง                ทอดตามองโอ้น้องเอ๋ย

ชัยฤกษ์เบิกฤกษ์เคย                 เคียงเขนยเชยคู่ชม

        ถึงโรงพยาบาล               สถานให้คนไข้ขม

ป่วยไข้คลายระทม                  แต่พี่กรมลมรักแรง

         หมอดีมีเท่าไร                รักษาใจไม่เหือดแห้ง

จากชมระทมแทง                   เทวษเศร้าทุกเช้าเย็น

        วัดศพพบตลาด               ยามนิราศระคายเข็ญ

จากนุชสุดลำเค็ญ                    เกือบจะเป็นศพสลาย

        วัดพระมหาธาตุ              อภิวาทเจดีย์ราย

เดชะพระธาตุฉาย                   บันดาลให้ได้พบนาง

        จากรักไปพักแรม            รักจงแจ่มอย่าจืดจาง

ไปกลับนับวันว่าง                     ห่างทุกข์โศกสิ้นโรคภัย

        มาถึงศาลากลาง             สวยสล้างทั้งกว้างใหญ่

ร่มรื่นพื้นภายใน                     ใบไม้บังนั่งสบาย

        กำลังพัฒนา                   ดูสง่ากว่าใดหลาย

คำขวัญปั้นเป็นป้าย                  มองเห็นง่ายได้จดจำ

        “เราชาวนครฯ” ศรี        “กอปรกรรมดี” มีศีลธรรม

“มานะพากเพียร” ล้ำ              ไม่กระทำเบียดเบียนใคร

        “มั่นอยู่ในสัจจะ”            เป็นเมืองพระปรนนิสัย

ไม่ทำอันตรายใคร                  ตั้งใจงามมุ่งความดี

        เกะกะไม่ประพฤติ           เราต้องยึดซึ่งศักดิ์ศรี

จิตใจมีไมตรี                         มรรยาทดีแด่ทุกคน

        ศีลห้าว่าอย่างไร             ท่องจำไว้ได้กุศล

อีกทั้งต้องตั้งตน                      ประพฤติตามให้งามตา

        คำขวัญอันประสิทธิ์         ปลุกเตือนจิตชาวประชา

ทุกย่านผ่านไปมา                    พบผ่านตาว่าสอนใจ

        ส่วนว่าจะศักดิ์สิทธิ์          ผลสัมฤทธิ์สักแค่ไหน   

เพราะเราเหล่าชาวไทย            ร่วมสนใจในความดี

        หน้าเมืองรุ่งเรืองตา        ร้านขายค้านานาสี

เตรียมการงานจะมี                 เดือนสิบนี้ไม่กี่วัน

         โรงร้านเรียงรายรอบ      ภายในขอบเขตรั้วขั้น

เดือนสิบงานสารทอัน               บันลือเลื่องเมืองนครฯ 

        รถเราไม่เบารอ              ให้ชมต่อจึงท้อถอน

เหลียวหลังยังอาวรณ์              จรลีลาจากหน้าเมือง

        ตลาดแขกแยกไปซ้าย       มองเห็นป้ายทาสีเหลือง

ถนนกะโรมเรือง                     เบื้องหน้าในเข้าไพรวัน

        ยวนแหลแลตลาด            ไม่พิลาสพิไลสรรพ์

คิดนวลยวนใจครัน                  ไกลขวัญนาฎขาดยวนตา

        บ้านตาลไม่เห็นต้น           เห็นมากผลต้นพฤกษา

ขาดตาลหลานวิญญา               นั่งรถมาระอาใจ

        สวนยางสองข้างแน่น        รถยนต์แล่นถึงท่าใหญ่

บุกน้ำข้ามคลองไป                   ความทุกข์ใจใหญ่กว่าคลอง

        ศาลาสังกะสี                  บ้านท่าดีแต่พี่หมอง

ดีท่าข้าไม่ปอง                        แม้นพบน้องต้องว่าดี

        หมู่บ้านพัฒนา                จากศาลาสังกะสี

รั่วรอบขอบเขตมี                    ระเบียงดีจึงน่าดู

        พัฒนาบ้านท่าดี               พิเศษศรีสง่าหรู

พวกเราเหล่าศิษย์ครู               ได้มาดูพลอยยินดี

        ตีเก้าเข้าพักร้อน             วัดดินดอนแดนวิถี

ควนโคกลมโกรกดี                  ประชาชีจึงชอบใจ

        สร้างวัดพิพัฒน์ผล           มากมวลชนมาเลื่อมใส

โบสถ์ลานวิหารใน                  โรงเรียนใหญ่พิจิตร์ตา

        มีพรรณรุกขชาติ            ดารดาษระดะหนา

เด็ก ๆ ไม่เคยมา                     ชมพฤกษาสุขตาใจ

        ออกจากวัดดินดอน          นั้งรถจรถึงจุดใหม่

วัดโคก ๆ อะไร                      หวนอาลัยฤทันถอน

         โคกฟ้าน่านั่งชม              เมื่อยามสมสยมพร

ลานลิ่วเลิศลอยร่อน                 นอนนั่งเล่นเย็นสบาย   

        วัดโคกพี่โศกเศร้า           ตั้งแต่เช้ามาจนสาย

หยุดรถกำหนดให้                   คลายคลี่ห่อล่ออาหาร

        เสร็จสรรพสำหรับท้อง     เดินยิ้มย่องผ่องพุงบาน

รถยนต์พาทะยาน                    ผ่านไปยังวัดวังไทร

        เป็นวัดสงัดเงียบ             คงคาเลียบเลี้ยวไศล

ที่ท่าชลาลัย                           ปลาแง่ใหญ่ในวังวน

        น้ำใสไหลล่องเย็น           เป็นฝูงแฝงทุกแห่งหน

พระป้องจึงผองชน                  ไม่กล้าซนมาเสียบแทง

        วิหารลานวัดนั้น              เป็นเชิงชั้นสิงขรแข็ง

หินวางต่างกำแพง                   ศิลาแลงหลายแท่งมี

        สืบถามตามประวัติ          เคยเป็นวัดวิไลศรี

โบราณสถานมี                       พระเจดีย์ที่บูชา

        ตามเรื่องเมืองนครฯ        เมื่อเร่ร่อนตอนเสาะหา

ถิ่นทางสร้างพารา                   คงจะมาถึงวังไทร

        เจ้านายหมายกุศล           สร้างวัดบนเนินไศล

เจดีย์ที่จูงใจ                          สร้างไว้ในบ้านกำโลน

        “กำโลน” คือ “กำลูน”     คำเก่าสูญสมัยโพ้น

เพี้ยนคำเป็นกำโลน                  โยนคำเก่าให้เราแคลง

        แปลว่าน่าเอ็นดู               คงมีผู้สบแสยง

รบรันฆ่าฟันแทง                     แย่งบัลลังก์ขึ้นนั่งเมือง

        คนดีสิ้นชีวาตม์               จึงเอาธาตุท่านเป็นเครื่อง

บรรจุเจดีย์เหลือง                   ไว้เป็นเครื่องเรื่องเตือนใจ

        เท็จจริงสิ่งโบราณ          สันนิษฐานมาขานไข

ดูแล้วอย่างเลยไป                   ใครรู้จริงอย่างนิ่งอม

         วังไทรชวนใจคิด            ให้ลิขิตประสิทธิ์สม

เพียรพากฝากคารม                 เมื่อมาชมเชิงคีรี

        ออกจากวังไทรไกล         ชมถิ่นใหม่ในวิถี

รถผ่านบ้านท่าดี                      จนถึงที่ลานสกา

        ตลาดอำเภอตั้ง              ไม่คับคั่งเขตเคหา

โรงร้านบ้านเมืองป่า                หลังคาจากอยู่มากมี

        เขาแก้วแนวเขาตั้ง          อยู่ทางหลังตลาดนี้

จึงชื่อเขาแก้วที่                      ตั้งอำเภอบำเรอเรือง

        อำเภอลานสกา              นามนี้ว่าประวัติเขื่อง

เหตุการณ์โบราณเรื่อง             ที่ตั้งเมือง“ตามพรลิงค์”

        คือเมืองนครเก่า             ถิ่นเทือกเถาเราชายหญิง

ประวัติศาสตร์พูดพาดพิง           พวกเรายิ่งอยากยินยล

        แต่ว่าลานสกา                อยู่ริมผาพนาสณฑ์

ไกลห่างต่างตำบล                   เราทุกคนสนใจจริง

        เมืองเก่าเราอยากดู         เพื่อความรู้มาสู่สิง

ครรไลรถไววิ่ง                       ชมมิ่งไม้มาชายทาง

        ถนนรถยนต์ยาก             แสนวิบากเพิ่งถากถาง

โคลนตมหล่มร่องราง              ลำธารขวางวิ่งกลางธาร

        ทั้งหมดรถเก้าคัน            เสียงสนั่นลั่นละหาน

แค่คันอันธพาล                       ติดในน่านทางน้ำไหล

        ฉุดลากระชากเข็น           ไม่ยอมเผ่นตามเพื่อนไป

เราจึงตั้งนามให้                     “อันธพาล” ไม่ผ่านคลอง

        แปดคันดั้นด้นจร             ข้ามสาครขึ้นควนผอง

บุกโคลนโดนลึกล่อง                ต้องช่วยเข็นจนเอ็นตึง

        โคลนลึกถึงช่วยลาก         เห็นลำบากบ่ไปถึง

เราคิดจิตรำพึง                      ดึงไม่ไหวเดินไคลคลา

         ถึงวัดเจดีย์งาม               แวะอารามตามเรียกหา

วัดงามอร่ามตา                      มีพฤกษานานาพรรณ   

        สมภารท่านอารี             ทั้งครูที่ในวัดนั้น

ต้อนรับร่วมใจกัน                   สรรผลไม้ไว้มากมี

        ทุเรียนเรียงรายรับ         สำหรับเราเขาไม่หนี

คนละลูกถูกเนื้อดี                    ลังสาดสีขาวละออง

        ลูกเงาะขบเผาะล่อน         มังคุดซ้อนถึงสามสอง

อิ่มหมีพีพันย่อง                      ยังเหลือกองก็มากมี

        คุณแฉล้มเป็นครูใหญ่      ท่านมีใจประเสริฐศรี

ครูน้อยก็ใจดี                         มีมิตรจิตวิศิษฎ์แสน

        ข้าขอยอกรก้ม               ประณมนบจบเมืองแมน

ศักดิ์สิทธิ์สถิตแดน                   แว่นแคว้นใดในสากล

        อัญเชิญพระชิณศรี          มิ่งโมฬีศรีกุศล

พร้อมกันบันดาลดล                 มงคลสู่คุณครูผอง

        ลาภยศสรเสริญ             จงจำเริญรุจิรอง

ประสงค์จำนงปอง                   เป็นได้ดังหวังถวิล

        พระคุณอุ่นอาบจิต           ทั้งครูศิษย์สมจิตจินตน์

มาห่างต่างธานินทร์                 รินรสรักสามัคคี

        ขอจำจดจารึก                ในส่วนลึกของทรวงศรี

คณะครูวัดเจดีย์                     ไมตรีจิตสนิทนาน

        ยังทางย่างย่ำยัง             เขตเขาวังดังคำขาน

อีกสี่กิโลนาน                         จะถึงลานสกาเก่า

        บุกธารผ่านวนา              ห้วยหุบผากว่าถึงเขา

เวลาของพวกเรา                    จะกลับเล่าไม่เข้าที

        ปรึกษาปราสัยกัน            กลับหลังหันเห็นเป็นศรี

มืดค่ำลำบากที่                       พักแรมมิสะดวกดาย

         ตกลงตรงที่กลับ              ผู้กำกับลูกเสือหลาย

รวมกองกันเรียงราย               ภิปรายลาจากอาราม  

        กลับหลังมายังรถ            เดินเลี้ยวลดทางคดขาม

เลียบเขินเนินเขตคาม               บ่ายสามกว่ามาในดง

        แวะถ้ำคลำทางเข้า          ยาวยึดมืดน่ามัวหลง

ขมถ้ำล้ำลึกลง                        เวียนวกวงส่งแสงเทียน

        เวลาไม่ถ้าเรา                ค่ำกลางเขาคงหันเหียน

กลับออกมานอกเตียน              จวนเจียนกว่าห้าโมงเย็น

        ขึ้นรถวิ่งลดเลี้ยว             น่าหวาดเสียวเที่ยวทางเข็ญ

แม้นพี่มีพักตร์เพ็ญ                  คงตื่นเต้นตลอดทาง

        หริ่ง ๆ เรไรร้อง             คิดถึงน้องเจ้าหมองหมาง

ลำบากจากนวลนาง                 ครางครวญคร่ำร่ำพิไร

        ยินเสียงสำเนียงสัตว์        ในพนัสพนมใหญ่

หวิ่ว ๆ ปลิวเปลี่ยวใจ               กระหึ่มไพรในพนม

        ชะนีเหนี่ยวไม้โหย           โอยอกพี่นี้สุดขม

คะนึงถึงทรามชม                    ระทมถามยามสายัณห์

        ย่ำค่ำลำบากชัฎ              มาถึงวัดคีรีกันทร์

สุดทางมาห่างขวัญ                  หนึ่งวันถ้วนล้วนอาลัย

        วัดนี้มีเพื่อนฉัน               คนสำคัญคือครูใหญ่

ต้อนรับอย่างเรี่ยมไร               เราเห็นใจความไมตรี

        หนูกิ่ง เจริญสม              ชื่อเสียงชมจำเริญศรี

โอบอ้อมและอารี                    บ้านช่องมีอยู่สบาย

        เพื่อนเก่าเราร่วมเรียน     ร่วมพากเพียรเป็นสหาย

ม.1 ถึง ม.ปลาย                     ขั้นสุดท้ายมาเป็นครู

        เรียนต่อที่คอหงส์            เราก็คงเป็นเพื่อนคู่

บัดนี้เราเป็นครู                       แยกกันอยู่ต่างอำเภอ

         พบกันในวันนี้                 แสนยินดีใดเสมอ

นาน ๆ ได้มาเจอ                     เพื่อนบำเรอเลิศเลอลอย       

        อาหาร การหลับนอน       ไม่เดือดร้อนรับใช้สรอย

ถึงเขาเนาดงดอย                    ไม่ด้อยงามในน้ำใจ

        ลูกเสือสามร้อยกว่า         ได้พึ่งพาหยุดอาศัย

สุขกายสบายใจ                      หมดโพยภัยมาบีฑา

        พักนอนในวิหาร             ทั้งโบสถ์ลานล้วนแน่นหนา

เหลือออกนอกศาลา                 ใต้พฤษาหน้ากุฎี

        ยืนยามตามเทียนตั้ง         ย่ำระฆังดังอึงมี่

ทุเรียนในวัดมี                       พอลมดีหล่นประดัง

        เด็กที่มีหูไว                   ลุกขึ้นไปเก็บมาตั้ง

ปอกกินสิ้นแล้วฟัง                   หวังลูกใหม่ไม่หลับนอน

        ครั้งได้มาหลายผล           เลยนอนกรนจนท้องหย่อน

พวกอื่นเห็นเพื่อนซ่อน               ช่วยกันต้อนไปแตกกิน

        เจ้าของตื่นขึ้นมา             เที่ยวค้นหาเห็นหมดสิ้น

ถูกเพื่อนเลื่อนไปปลิ้น               ปอกเปลือกตั้งเลยนั่งเฉย

        ไม่โกรธพูดโหดร้าย         ไม่เสียดายด้วยความเคย

พรรคพวกเพื่อนเสบย               เลยพลอยปลื้มลืมเสียดาย

        เรือง ๆ แสงหิรัญ           ไก่แก้วขันแข่งแสงฉาย

แตรปลุกลุกเถิดนาย                ต่างวุ่นวายพัลวัน

        ตักน้ำหุงข้าวกิน              ตั้งเตาดินรินถ้วยขัน

พอแจ้งแสงตะวัน                    ต่างชวนกันนั่งโกยกิน

        สนุกนักการพักแรม         หน้าตาแจ่มจนหมดสิ้น

ถึงแม้นอนกลางดิน                  กินกลางทรายสบายบาน

        แต่ว่าตัวข้านี้                  ทำเหมือนมีเกษมสานต์

ทุกข์ใจใครจักปาน                  ไกลจากบ้านหมดสบาย

         แม้นพี่มีคู่เคล้า               ทุกค่ำเช้าโศกเศร้าหาย

เดินทางเท่าใดดาย                  เมื่อมีสายสวาทครอง   

        มีเพื่อนเหมือนไม่มี          ก้องโกลีแต่พี่หมอง

นิราศขาดคู่ครอง                    ตามทำนองนักประพันธ์

        เรื่องรักเหมือนผักหวาน    ย้อมดวงมานให้มีหรรษ์

เด็ก ๆ ได้อ่านกัน                    อย่าว่าข้านี้บ้ากาม

        นิราศต้องพาดพิง            ถึงเรื่องหญิงไม่กริ่งขาม

จึงสมนิยมยาม                       นิราศเรื่องเครื่องบรรโลม

        รุ่งแจ้งแสงทองส่อง         ลงในคลองล่องลอยโฉม

น้ำใสไหลชะโลม                    ชำระล้างสร่างมลทิน

        เสร็จสรรพรับประทาน     มีอาหารหวานถวิล      

เตรียมพร้อมต่างยอมยิน           ต้องเดินดินเที่ยวถิ่นไกล

        รถยนต์ต้องหยุดพัก         ลำบากนักวิ่งไม่ไหว

ขึ้นเขินแนวเนินไพร                 ไม่ปลอดภัยในพนา

        พวกเราเหล่าลูกเสือ        ล้วนชาติเชื้อฉกรรจ์กล้า

เตรียมพร้อมไม่ยอมรา            ตั้งหน้าเดินเข้าเนินไพร

        จุดหมายปลายทางนั้น       จะชมชั้นเชิงไศล

น้ำตกกะโรมไกล                    ใจเราหมายจะใคร่ชม

        เดินทางกลางดงดัด          ทางเลี้ยวลัดตัดถากถม

สูงต่ำย่ำโคลนตม                    ในพนมพนาเวศ

        ขึ้นลงในดงเถื่อน             ภูเขาเขื่อนเป็นขอบเขต

เลี้ยวลัดตัดถิ่นเทศ                   แสนทุเรศทุราแรม

        ไต่เขาเนานั่งพัก              บางแห่งหักลงห้วยแขม

ชอกช้ำระกำแกม                    หินเหลี้ยมแหลมเป็นแซมเซิง

        ชมป่านานาพรรณ           รุกขานันต์ในวากเวิ้ง

ร่มรุ่มเป็นพุ่มเพิง                    บนชั้นเชิงน่าเริงรมณ์

         อินทะนินถิ่นทางผ่าน         ดอกเบ่งบานตระการสม

แม้นพี่มีคู่ชม                          คงขอดมชมช่อชู 

        พยอมหอมอยู่ห่าง           นั่นนมนางข้างนมหนู

ตะแบกแตกดอกดู                   เป็นพวงพู่แผ่เป็นแพน

        สังเกียดเสียดสังโต่ง        ต้นคดโค้งโก่งคอแหงน

กุมกอข้างคอแลน                    ลูกป้อมแป้นแขวนโตงเตง

        สตอสตือต้น                   ผักยาวย่นอยู่โหรงเหรง

ไทรย้อยห้อยโยงเยง               ไม้ขี้เก้งกอกก้างปลา

        ยูงยางไม้ค่างเต้น            สำโรงเหม็นเหมือนมูตหมา

แคคางปริงปรางพลา               ไม้หวาดหว้าเพกาโก

        เกดแก้วแต้วตำเสา          พลวงพลองเพลาเถายี่โห่ง

ปรางประตะโกโพธิ์                 เนียนโสนสะเดาดง

        จำปูนจำปาปีบ                ไม้เหียนหีบกับหางหงส์

อ้อยช้างลางลิงลง                   ไม้ปรูปรงดงริงโร

        กล้วยไม้ชายเชิงผา          หวนหอมมาตามวาโย

แม้นได้ไปไว้โชว์                     สมมโนแม่นวลนาง

        ริมเขาเถาวัลห้อย           ระย้าย้อยห้อยเป็นหาง

ดอกเด่นเห็นรางชาง                ระหว่างโตรกชะโงกหิน

        นานาคณานก                 เกาะกิ่งกกโผ่ผกบิน

นกเปล้าเข้าเกาะกิน                 จับกิ่งไทรไหวระรัง

        นกงังงัง ๆ ร้อง               นกเงียกก้องสยองหัว

พีทิดพีทีทั่ว                            เสียงระรัวน่ากลัวเกรง

        หัวขวานรานกิ่งยาง         นกโหน่งหน่างดังโหน่งเหน่ง

หัวจุกจ้องร้องเพลง                 ฟังวังเวงวิเวกไพร

        นกยูงเป็นฝูงฟ้อน            รำแพนร่อนริมไศล

แววหางอย่างอำไพ                  แผ่ปีกไปเป็นวงเวียน

         ไก่ฟ้าว่ายฟ้าล่อง             บินลำพองกระพือเหียน

กระเต้นจับกิ่งเตียน                 กระจิบเวียนบนเถาวัลย์

        นกเขาเนาบนข่อย           ไก่เขาคอยคุ้ยเขี่ยขัน

กระโต้งกระตั้วดัน                   จับชิงชันหันคอคอย

        ลิงค่างบ่างชะนี               เสียงอึงมี่เมียงชะม้อย

ห้อยโหนโยนทะยอย                กระโดดลอยถลาลง

        กระรอกออกจากรัง         หลบเลี้ยวบังใต้ใบหง

กระแตกระต่ายดง                   จ้อนกระจงกระโจนหนี

        เลียบเขินเนินพนัส           ชมป่าชัฏล่ำสัตว์มี

ครึ้มครึกไพรพฤกษี                 มีมากนักสุดจักชม

        เกือบเที่ยงเสียงครึกครื้น   มาในพื้นพนมขรม

เหน็ดเหนื่อยเมื่อยระบม            พี่กรอมกรมชมพนา

        มีเพื่อนเหมือนไม่มี          ขาดโฉมศรีเสน่หา

ชมนกชมไม้มา                       จนถึงผาหน้าน้ำตก

        เห็นน้ำไหลลงเชี่ยว          กลิ้งเป็นเกลียวเลี้ยวเวียนวก

เย็นวาบซาบซ่านอก                 ชมน้ำตกน่าตื่นตา

        หลายชั้นกะถั่นถั่ง            ไหลพลั่ง ๆ ดังฉาดฉ่า

ลงแอ่งแหล่งธารา                   เด็ก ๆ พากันพอใจ

        ลงล่องท้องละหาน           สระสนานในธารไหล

ชุ่มเนื้อขัดเหงื่อไคล                 ว่ายมาไปใจชื่นบาน

 กะโรมรำพัน (กลอน ๘)

         รำพันความยามยลสายชลเชี่ยว            กลิ้งเป็นเกลียวกลางผาชลาโหม

        นามกระเดื่องเลื่องลั่นโลกบรรโลม        ชื่อกะโรมโครมครื้นพื้นพนม

        ตกเป็นสายหลายชั้นโขดขั้นคุ้ง              โผนผาดพุ่งเพิงผาดังผ้าห่ม

        ที่ปูลาดพาดผ่านพิมานพรหม                เมื่อยามลมพัดลิ่วปลิวกระจาย

        ฟุ้งละอองล่องเลื่อนเหมือนธุมางค์         เป็นควันคว้างลางเลือนแล้วเกลื่อนหาย

        เห็นแวววาวราวเก็จแสงเพชรพราย       เมื่อต้องสายสูรย์ส่องละอองไอ

        เป็นสีรุ้งพุ่งโด่งขึ้นโค้งขอบ                  พฤกษารอบริมผาชลาไหล

        เป็นเซิงซุ้มพุ่มผายขยายใบ                  เสียดไศลสล้างล้ำขึ้นอัมพร

        ใต้โคนเตียนเลี่ยนลื่นพื้นศิลา                ชะง่อนผาน่าพิงริมสิงขร

        ระร่มรื่นชื่นชมสายลมอ่อน                  หอมเกสรเสาวคนธ์สุมลมาลย์

        ในแอ่งขังวังวนสายชลตก                   ฉ่ำชุ่มอกอาบเล่นเป็นสุขศานต์

        ดับอารมณ์ขมขื่นให้ชื่นบาน                 ห้วยละหานธารตื้นเห็นพื้นทราย

        มัศยาคลาคล่ำโดดดำดิ้น                     เลียบเลียหินกินไคลในชลสาย

        ปารังเขียวเรียวรัดระบัดปลาย             ศิลาลายเหลื่อมลื่นในพื้นคลอง

        หริ่ง ๆ แร้เรไรในไพรกว้าง                ฟังเสียงครางครวญกระหึ่มครึ้มสมอง

        เสียงน้ำตกนกพลอดสอดสำนอง            เสียงลมล่องโลมไพรเหมือนใครครวญ

        เย็นลำเนาเขาเขินเนินน้ำตก                 ยังเย็นอกด้วยเสียงสำเนียงหวน

        แดนวิมุตสุดสงบสิ้นรบกวน                  จึงสมควรมวลคนคิดสนใจ

        กะโรมร่ำรำพันฉันเสมอ                     อยู่อำเภอลานสกาภูผาใหญ่

        จากตัวเมืองนครศรีอยู่มิไกล                สิบห้าไมล์กว่า ๆ ถึงผาชัน

        รถยนต์นั่งหลังอิงพิงกับเบาะ                ชมละเมาะมิ่งไม้ในไพรสัณฑ์

        แต่ละล้วนสวนสร้างกลางอรัญ             อเนกนันท์ขนัดแนวตามแถวทาง

        ผลไม้หลายหลากพลูหมากเหมาะ          ทุเรียน เงาะ ลังลาดสุกสล้าง

           ต้นฝรั่งลังคุดละมุดปราง                   ทั้งสองข้างโขดควนเรือกสวนดี

             หย่อนอารมณ์ชมป่าแสนผาสุก        นิราศทุกข์สุขเกิดเฉิดฉวี

             แม้แต่องค์ทรงศักดิ์พระจักรี           รัชกาลที่หกก็พอพระทัย

         เสด็จมาประพาสประสาทสัก               ลายพระอักษรทรงตรงไศล

         ว.ป.ร.ย่อพระนามาภิไธย์                   เป็นขวัญใจชาวประชาชั่วตาปี

            ขอเชิญชวนมวลประชาทุกธานี         ไปเที่ยวที่กะโรมดู คงรู้เอย

       นิราศกะโรมรจน์            ฝากภาพพจน์จดบันทึก

ครั้งหนึ่งซึ่งครูตรึก                  เข้าดงดึกเดินทางไกล

        เป็นครูผู้กำกับ                ทั้งไปกลับจับมาไข

ผิดพลาดขาดตกไป                  โปรดอภัยในวาที

        เขียนไว้ได้อ่านเล่น          ไม่ใช่เป็นกวีศรี

ทำได้ยังไม่ดี                          นักกวีที่ได้ดู

        หัวเราะเยาะบ้างนั้น         แต่ตัวฉันทำไขหู

ด้วยคิดผิดเป็นครู                    ไม่อวดรู้ดูถูกใคร

        ไม่ทำก็ไม่รู้                   ผิดถูกอยู่ที่ตรงไหน

ติได้เชิญติไป                         ช่างปะไรเราไม่แคร์ ฯ

                                                          ตรึก  พฤกษะศรี          ร.ร. ปากพนัง

                                                ๑๗  ก.ย.  ๒๕๐๕    

 

       

 

 

                                                                  


5 comments

  1. หนึ่งครับผม /

    พึ่งเข้ามาเจอ สุดยอดมากๆพี่โกมล ขอทะลึ่งเอาไปเผยแพร่ต่อเพื่อให้คนนคร สาขา เฟซบุ๊ค ได้รู้จัก รู้จำบุคคลที่มีคุณูปการต่อบ้านเมือง….. ยังฝากเรื่องฝากราวให้ลูกหลาน ฝากฝังเป็นบทกลอนแห่งตำนาน ให้ลูกหลานได้จารึกและจดจำ ว่าครั้งหนึ่งพ่อครูที่ชื่อตรึก ได้สำนึกรู้คุณแผ่นดินนั้น จารึกเป็นโคลงฉันท์กาพย์สุนทรฉันท์ ให้อ่านกันปกิณกะตราบชั่วคน   (แหม…เอาซะหน่อยนะครับ) 555

  2. คุณหนึ่งครับ
             เจ้าของเขาอนุญาตให้เผยแพร่แล้วครับ เต็มที่เลยครับ เพื่อบ้านเรา"เมืองคอน"ครับ

  3. แน่นอนที่สุด เมืองคอนบ้านเรา ก็ต้องเผยแพร่โดยคนคอนบ้านเราครับ

  4. - ดีใจ..ที่ได้มาเจอ..เรื่องราวดีๆ..ของเมืองคอน..โดยเฉพาะ..”ลานสกา : น้ำตกกะโรม “..
    - ดีใจ..ที่ได้อ่าน..เรื่องราวของ..บรรพบุรุษ..คุณครูหนูกิ่ง เจริ่ญสม..พ่อของตัวเอง..พร้อม..ภาพ..เก่าแก่..อันเป็นภาพ..ประวัติศาสตร์..ที่ยิ่งใหญ่..และ..พร้อมด้วย..คุณูปการ..ต่อ..ชุมชนเขาแก้ว ค่ะ..ปลาบปลื้ม..มากๆ

  5. คุณกุลศานต์ เจริญสม ขอบคุณครับและดีใจครับ ถ้าหากทางคุณมีภาพเก่าหรือเรืองราวเก่าๆที่เกี่ยวกับเมืองคอน ต้องขอรบกวนนะครับ

ส่งความเห็นที่ komol ยกเลิกการตอบ

อีเมล์ของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *

คุณอาจจะใช้ป้ายกำกับและคุณสมบัติHTML: <a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <strike> <strong>